ในประเทศไทยมีพริกอยู่มากกว่า 200 สายพันธ์ุ "พริก" มีความสำคัญต่อวิถีชีวิตของคนไทย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันใช้พริกเป็นส่วนประกอบของอาหาร ทั้งเป็นเครื่องปรุงรสที่สำคัญ และมีการแปรรูป เช่น เครื่องแกงสำเร็จรูป ซอสพริก และน้ำพริก เป็นต้น
พริกเป็นพืชที่ปลูกและใช้ประโยชน์กันอยู่ทั่วโลก นอกจากพริกจะเป็นเครื่องเทศที่ช่วยปรุงแต่งรสชาติอาหารให้ถูกปากแล้ว พริกยังเป็นพืชที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ช่วยให้เจริญอาหาร ประกอบอาหารได้หลายประเภท ในผลพริกมีสารอาหารที่มีคุณค่าหลายพันชนิด ประกอบด้วย โปรตีน วิตามินและแร่ธาตุต่างๆ แต่สารที่เป็นจุดเด่นที่แสดงถึงเอกลักษณ์ของพริกมี 2 ชนิด คือ สารแคโรทีนอยด์ (carotenoid) และ สารแคปไซซินนอยด์ (capsaicinoid)
สารแคโรทีนอยด์ (carotenoid)
สารให้สีในพริกจัดอยู่ในกลุ่มรงควัตถุพวกแคโรทีนอยด์ ซึ่งจะให้สีแดง สีส้ม และสีเหลือง มีคุณสมบัติคือไม่ละลายน้ำ แต่จะละลายได้ดีในไขมันและตัวทำละลายอินทรีย์ รงควัตถุนี้เหล่ามีอยู่ทั่วไปและมีปริมาณมากในธรรมชาติ
สารแคปไซซินนอยด์ (capsaicinoid)
เป็นสารประกอบสำคัญของพริก ที่ทำให้เกิดกลิ่นและรสเผ็ดร้อน ซึ่งประกอบด้วยแคปไซซิน (capsaicin) มีปริมาณสูงสุด 70% ไดไฮโดรแคปไซซิน (dihydrocapsaicin) 22% นอร์-ไดไฮโดรแคปไซซิน (nor-dihydrocapsaicin) 1% โฮโมแคปไซซิน (homocapsaicin)1% และสารอื่นๆอีก 6%
สารแคปไซซินพบมากในบริเวณเยื่อแกนกลางสีขาวหรือที่เรียกว่า “รกพริก” (Placenta) ในส่วนของ เนื้อ เปลือก และเมล็ดพริกจะมีสารแคปไซซินอยู่น้อยมาก ปริมาณของสารแคปไซซินจะมีความแตกต่างกันออกไป ตามสายพันธ์ุและระยะการสุกของพริก
ประโยชน์ที่ได้จากแคปไซซิน
ช่วยต่อต้านแบคทีเรียและเชื้อรา
ช่วยต้านการอักเสบ เช่น โรคข้อเข่าเสื่อม โรคข้ออักเสบ
ช่วยเพิ่มการเผาผลาญ
ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดลิ่มเลือดและโรคหลอดเลือดสมอง
ช่วยลดคอเลสเตอรอล
ช่วยให้เจริญอาหาร
รักษาอาการปวดเส้นประสาทชนิดเรื้อรัง
ช่วยต้านมะเร็ง
ข้อควรระวัง
เด็ก การกินพริกหรือการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารแคปไซซินค่อนข้างไม่ปลอดภัยหากใช้กับเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 2 ปี
ผู้ที่วางแผนเข้ารับการผ่าตัด ควรหยุดรับประทานพริกก่อนการผ่าตัดอย่างน้อย 2 สัปดาห์เพราะอาจทำให้เลือดออกมากในระหว่างและหลังการผ่าตัด
ผู้ที่อยู่ในระหว่างการรับประทานยารักษาโรค เช่น ยาต้านเกล็ดเลือด เพราะอาจทำให้เกิดแผลฟกช้ำหรือมีเลือดออกได้ง่ายกว่าปกติ หรือยาทีโอฟิลลีน (Theophylline) และยาในกลุ่มเอซีอี อินฮิบิเตอร์ ซึ่งเป็นยารักษาความดันโลหิตสูง เพราะอาจส่งผลต่อการดูดซึมยาของร่างกาย อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของยา และทำให้เสี่ยงต่อการผลข้างเคียงได้
ในผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหาร ไม่ควรกินเผ็ดมากเนื่องจากจะทำให้กระเพาะอาหารเกิดการระคายเคืองได้
ที่มา : การวิเคราะห์หาปริมาณแคปไซซินในพริก
งานวิจัยและพัฒนาพริก กรมวิชาการเกษตร
ความคิดเห็น